คุณ ป๊อบ : วนัฐพงศ์ วงษ์บุญธรรม มือกีตาร์ Back up ศิลปิน ดา เอ็นโดรฟิน
    กว่า 7 ปีที่ Smallroomcable ได้ผลิตสายสัญญาณให้กับนักดนตรีและศิลปินไทยมากหน้าหลายตา จนได้มีโอกาสทำสายสัญญาณ
ให้กับมือกีตาร์ผู้เปี่ยมไปด้วยฝีมือและประสบการณ์อย่างคุณ ป๊อบ วนัฐพงศ์ วงษ์บุญธรรม ซึ่งปัจจุบันเป็นมือกีตาร์ Back up ศิลปิน ดา เอ็นโดรฟิน
ศิลปินหญิงระดับแนวหน้าคนหนึ่งของวงการเพลงไทย นับว่าเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของ Smallroomcable ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานต่างๆของเขา
วันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับคุณป๊อบ และ เหตุผลที่ทำให้เขาเลือกใช้สายของ Smallroomcable ครับ
อยากทราบประวัติการเล่นดนตรีของคุณป๊อบครับ

ผมเริ่มหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่ ม.1 ( อายุ 13 ) ครับ ตั้งแต่ตอนอยู่นครนายก เล่นตามพี่ชายครับ ได้พี่ชายสอนบวกกับการฝึกฝนด้วยตัวเองมาตลอด
พอถึงม.5ก็เริ่มเล่นดนตรีกลางคืน เล่นทั้ง Fullband,Acoustic เล่นทุกวันครับ พอจบม.6 ก็ย้ายเข้ามาเรียนต่อที่ คณะนิเทศศาสตร์ ม.ราชภัฎสวนดุสิต
ก็ทำวงกับเพื่อนๆพี่ๆที่รู้จักกันในชมรมดนตรี เล่นดนตรีกลางคืนกันมาเรื่อยๆครับ จนกระทั่งวันนึงได้มาเล่นดนตรีที่ Parking Toy
ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเพราะได้รู้จักเพื่อนๆพี่ๆมากมาย ที่แบบว่าใครมีงานอะไรก็มาชวนกันไปทำ ไปเล่นกัน แล้วได้มารู้จักกับพี่เล็ก Skalaxy
ที่เสียไปน่ะครับ ตอนนั้นแกก็มาชวนไปช่วยทำแบคเสตจให้แก คือแบบไม่ใช่ว่าเป็นงานหรอกครับ เหมือนกับพี่ๆน้องๆช่วยกันทำ ใครว่างก็ไป
พอเสร็จงานก็ไปเมาต่อ...อะไรแบบนั้นละครับ 55 แต่งานเล่นดนตรีกลางคืนเราก็ทำอยู่ตลอดเป็นอาชีพหลักครับ
คุณ ป๊อบ ได้มาเป็นมือกีตาร์แบคอัพให้กับ ดา เอ็นโดรฟิน ได้อย่างไรครับ

พอหลังจากพี่เล็กแกได้เสียชีวิตไป เราก็มารู้จักกับพี่ปอนที่เป็นนักร้องคนล่าสุดของวง Skalaxy ก็เลยมาทำวงกันใช้ชื่อวง Flow ก็เล่นกันต่อที่ Parking Toy
นี่ล่ะครับแล้วก็กะว่าจะทำเพลงกัน แต่พอดีพี่ปอนนอกจากเป็นนักร้องแล้ว จริงๆแกเป็นมือแบคอัพเพอคัสชันให้ศิลปินหลายคน แล้วก็เป็นให้ ดา
เอนโดรฟินด้วย อยู่มาวันนึงก็ได้ข่าวว่า ดา เค้ากำลังจะเปลี่ยนแบคอัพทั้งชุด (ยกเว้นมือคีย์บอร์ด) พี่ปอนแกก็เลยชักชวน ดา เข้ามาดูวงเราเล่นกัน
ผลปรากฎว่า ดา "โอเค" เราก็เลยได้เล่นให้ ดา ตั้งแต่นั้นมาครับ
IMAGE BY TOM JOOM
เล่นแบคอัพให้กับ ดา เอ็นโดรฟิน เดือนๆหนึ่งมีงานประมาณกี่งานครับ

งานยืนพื้นประมาณ 20 งานต่อเดือนได้ครับ ทั้งกทม.และต่างจังหวัดครับ ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปหมดครับ
คุณป๊อบมีวิธีการฝึกฝน และ การเตรียมตัวไปเล่นอย่างไรบ้างครับ

คงจะไม่ได้ฝึกโดยตรงครับ คือผมจะเน้นแกะเพลง เน้นวิเคราะห์ ดูมุมมอง วิธีการเล่น วิธีคิดในเพลงต่างๆที่เราแกะมากกว่า
ทั้งจากเพลงที่แกะเล่นกลางคืนและก็เพลงอื่นๆในแบบที่เราชอบ แล้วประยุกต์นำมาใช้ในวิธีการเล่นของเราเอง ก็เลยเหมือนกับเป็นการฝึกไปในตัว
แต่ช่วงที่มาเล่นกับ ดา ก็ค่อนข้างฝึกมากขึ้นครับ โดยเฉพาะเรื่อง Timing เพราะมือกลองจะเป็นคนให้ความสำคัญกับ Timing มาก
ตอนเล่นสดเค้าจะชอบตีกลองไปพร้อมกับ Metronome ตลอดแม้ว่าจะไม่ได้เปิด Harddisk ก็ตาม โดยเฉพาะการควบคุม Timing
ของเพลงช้าๆมีผลต่ออารมณ์ของเพลงและมีผลต่อการร้องของนักร้องมากด้วย ถ้าเล่นเร็วไปจะทำให้นักร้องควบคุมเสียงร้องลำบาก
ส่วนเรื่องการเตรียมตัวไปเล่น ผมจะเตรียมใจซะมากกว่า คือถ้าใจเรานิ่งแล้วอะไรๆมันก็ควบคุมได้เองครับ
มีประสบการณ์อะไรตื่นเต้นบ้างไหมครับ กับการได้เล่นให้ ดา เอ็นโดรฟิน

ครั้งแรกที่ไปเล่นก็แอมป์พังเลยครับ หลอดขาด งงเลย เพิ่งซื้อมาวันแรกด้วย แต่ก็แก้ไขสถานการณ์ได้ครับ
เอาหัวที่ร้านมาใช้แทนกับตู้เราแล้วก็ใช้เสียงแตกจากเอฟเฟคก้อนแทน แต่ถ้าถามความตื่นเต้นก็มีช่วงแรกๆที่ได้เล่นกับ ดา ก็ตื่นเต้นนะครับ
เพราะในความรู้สึกผม ดา เป็นศิลปินระดับแนวหน้าที่มีชื่อเสียงและก็มีความสามารถมากๆ ของวงการเพลง Pop Rock บ้านเรานะ
ก็เลยทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นครับ
IMAGE BY TOMMY WONGBOONTHAM
ถามเรื่องการใช้สาย Smallroomcable ของคุณป๊อบบ้างครับ เป็นมาอย่างไรครับ

เริ่มจากสายพ่วง Effectเลยครับ คือก่อนหน้านี้ผมก็เคยใช้มาซัก 3 ยี่ห้อได้แล้วครับ ทั้งของนอกและของไทย แต่ก็เจอปัญหาติดๆดับๆเรื่อยครับ
คือเราเป็นคนที่เปลี่ยนเอฟเฟคบ่อยด้วย บางทีเราแค่ถอดเข้าถอดออกไม่ทันไรมันก็พังซะแล้ว ซึ่งก็ยอมรับว่าบางทีเราอาจจะดึงแรงไปบ้างหรือเปล่า
มันก็เลยพังง่าย แต่ในความรู้สึกผมว่ามันไม่น่าจะพังง่ายขนาดนั้น แบบว่ามันยังไม่คุ้มกับที่เราซื้อมาเลย แค่ทดลองๆยังไม่ทันใช้จริงก็พังซะก่อน
ยังเปลี่ยนเอฟเฟคไม่ครบแต่สายดันพังซะก่อนครับ และปัญหาที่สำคัญที่สุดเลยโดยเฉพาะกับคนที่เล่นก้อน คือ เราใช้เอฟเฟคหลายก้อน
ต้องใช้สายพ่วงเอฟเฟคหลายเส้น การที่มันดับไปแล้วจะไปตามหาต้นเหตุให้ได้ ณ ขนะนั้น มันยากมากนะ โดยเฉพาะตอนอยู่หน้างานครับ
สมมุติว่า พิธีกรกำลังเปิดงาน " เชิญพบกับ ดา เอ็นโดรฟินครับ!!! " แล้วเรา วูบ...เงียบ มัวแต่ก้มลงดูสายเนี่ย มันไม่ได้แล้วไงครับ
เพลงมันต้องไปแล้วไงครับ 5555 แต่..ตั้งแต่ใช้สาย Smallroomcable มา..ก็ไม่มีปัญหาแบบนี้เลยครับ
อย่างกรณีที่ผมสามารถให้ลูกค้าแต่ละคนสั่งความยาวสายได้ตามต้องการ ช่วยให้สะดวกขึ้นไหมครับ

ผมว่าดีครับ เหมาะกับคนใช้เอฟเฟคก้อนมาก ถ้าเล่นก้อนจะเข้าใจเลยว่าแต่ละคนจะเรียงและวางไม่เหมือนกัน
มันทำให้รู้สึกว่าเป็นสาย Handmade จริงๆ ไม่ใช่แบบที่ปั๊มๆมาขาย
สายจากSmallroomcableตัวอื่นๆที่คุณป๊อบใช้ มีอะไรบ้างครับ แล้วมีความแตกต่างจากสายที่คุณป๊อบเคยใช้มาก่อนอย่างไรบ้างครับ

ก็มีสายสัญญาณต่างๆจาก Effect ไปแอมป์ รวมทั้งสายต่อ Effect loop แล้วก็สาย Wireless ที่สั่งทำพิเศษครับ คือผมเน้นความแข็งแรงครับ
พวกสายที่ผมเคยใช้มาก่อนหลายๆตัวมันเหมือนกันตรงที่ว่าใช้ไปไม่นานก็พังหมดแล้วครับ แต่ของคุณเต้ยเนี่ยมันยังโอเคอยู่ครับ ยังไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนเรื่องสัญญาณเนี่ย แม้จะต้องยอมรับครับว่าการใช้ไวร์เลสแทนสายสัญญาณยังไงๆก็จะถูกกินเสียงลงไปบ้างอยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องการย่านเสียงที่มาครบอยู่ดีครับ เพราะถ้ามาไม่ครบเวลาเราเล่นจะรู้สึกได้ว่ามันขาดไม่ขาด มันมาครบหรือไม่ครบ แต่กับการใช้สาย Smallroomcable แล้วมันก็ปรกติดีครับ ย่านมาครบ ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ไม่ได้ด้อยกว่าของนอกที่เคยใช้
โดยรวมผมก็โอเคครับ พอใจครับ
กลับมาเรื่องดนตรีบ้างครับ โดยส่วนตัวคุณป๊อบชอบเล่น/ฟังเพลงแนวไหนครับ

ผมเติบโตมากับเพลง Rock อย่างวง หิน เหล็ก ไฟ ครับ พวก Metallica แนว Heavy Hardrock ไรแบบนั้นละครับ
จับพลัดจับผลูไปมาเพื่อนก็หาเพลงมาให้ฟังมากขึ้นก็จะเริ่มเป็นพวก Guitar Hero ทั้งหลาย แต่พอเล่นดนตรีมากขึ้น
ฟังเพลงมากขึ้นก็จะเริ่มมาชอบฟังพวกอังกฤษ ชอบซาวน์นะ แล้วตอนหลังๆผมชอบ John Mayor มาก มีอิทธิพลกับผมมาก
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเล่นให้เหมือนเค้านะครับ แต่เหมือนเค้าเป็นแรงบันดาลใจให้เรามากกว่า
คือเวลาเราเล่นอะไรมันเหมือนกับจะได้ยินเสียงกีตาร์ของเค้าเข้ามาอยู่ในใจเราตลอด และอีกคนที่เป็นฮีโร่ของผมจริงๆก็คือ พี่ป๊อบ เดอะซัน ครับ
ถ้ามีน้องๆมาถามคุณป๊อบว่าควรจะฝึกอะไร ยังไง เล่นอะไรดี

ตอบยากเลยครับ เรื่องเครียด 55 คือสำหรับผมๆคิดว่าการเล่นดนตรีมันไม่ใช่เรื่องซีเรียสขนาดนั้นนะครับ
คืออาจจะต้องซีเรียสบ้างแต่คงไม่ใช่ตลอดเวลา ผมชอบที่ พี่ป๊อบ เดอะซัน พูดว่า " ถ้าเล่นดนตรีแล้วมีความสุขก็ถือว่าโอเค " แค่นั้นเอง
มันทำให้ผมรู้สึกว่าคิดอะไรได้หลายๆอย่างครับ ยกตัวอย่าง สมมุติตั้งกฎให้ตัวเองไว้ว่าจะฝึกให้ได้วันละ 7-8 ชม.
แล้วเผอิญวันไหนเกิดเหนื่อยมากๆแล้วไม่มีอารมณ์จะฝึก แต่เราตั้งกฎไว้แล้วแต่ทำไม่ได้ มันก็จะกลายเป็นว่าวันนั้นเราไม่มีความสุขน่ะสิ
มันเหมือนกับผิดประเด็นความสุขที่คิดไว้แต่แรก

ใช่ๆ ผมว่าถ้าเราแบบมองเห็นกีตาร์มันวางอยู่ แล้วเราอยากหยิบมันขึ้นมาเล่นสนุกๆ เพราะมันสนุกๆไง อย่างนั้นผมว่ามันจะดีซะกว่า
ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเรารักมันจริงๆเราก็จะหยิบมันขึ้นมาเล่นเองแหล่ะผมว่า " เล่นดนตรีให้มีความสุข แล้วก็โอเค "
ส่วนเรื่องฟังเพลงผมว่าชอบอะไรก็ลุยเลยครับ แต่แนะนำว่าพอเราได้ฟังสิ่งที่เราชอบมากๆจนโอเคแล้วก็ควรเปิดใจฟังเพลงแนวอื่นๆด้วยครับ
มันจะได้ไอเดียมาผสมกับของเรา ผมว่าที่แนวเพลงมันแตกแขนงออกมามากมายน่าจะเป็นเพราะอย่างนี้ละมั้งครับ
แบบว่าลองเอาเพลงแนวนั้นมาผสมกับแนวนี้...ไม่ชัวร์นะ 555 ก็ต้องแล้วแต่ความชอบเลยครับ
อยากเล่นดนตรีเพื่อเป็นอาชีพต้องทำอย่างไรบ้างครับ

ผมเชื่อว่าคนที่มาเล่นดนตรีเพื่อเป็นอาชีพได้คงต้องมีฝีมือกันอยู่แล้วล่ะครับ ไม่งั้นคงไม่มีใครจ้าง
แต่สำหรับผมสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องมีคือความมีระเบียบวินัยและซื่อสัตย์ต่อตนเอง เหมือนกับเราต้องรักมันให้จริงก่อนครับ
คือเราต้องมุ่งมั่นว่าอยากไปทางนี้จริงๆไม่ใช่แค่อยากไปลองๆดู พอไม่ได้ดังใจแล้วก็ไขว้เขว
เหมือนกับว่าเราตั้งเป้าไว้แล้ว มีอุปสรรคก็อย่าเพิ่งไปท้อ

เราต้องยอมรับเลยว่าอาชีพเรามันไม่แน่นอน บางทีรายได้มันก็บทจะมาง่ายๆ มาเยอะ เปรียบเทียบรายได้ที่เราเล่นดนตรีกลางคืน
กับรายได้ขั้นต่ำของคนจบปริญญาตรีวันๆนึงเราอาจจะได้มากกว่าหรือเท่ากันทั้งๆที่เราเล่นแค่ชั่วโมงเดียวแต่เค้าต้องทำงานทั้งวัน
แต่ก็แลกกับความไม่แน่นอนเช่นบางทีงานหายไปเลยช่วงนึง แต่ก็อย่าเพิ่งท้อครับ ถ้าขยันหางานก็เชื่อว่าน่าจะโอเค
ส่วนหนึ่งของคำว่าซื่อสัตย์หมายถึงการรักษาคำพูดด้วยใช่ไหมครับ เช่นการรักษาคำพูดกับเพื่อนร่วมงาน นายจ้าง

ใช่ครับ ต้องให้เกียรติกันครับ ส่วนตัวผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องนี้มากๆ บางทีเคยร่วมงานกับคนไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาเวลา ผมว่าอย่างนี้ไม่จริง
ไปไม่ค่อยรอดครับ ผมว่าสำคัญที่สุดแล้วคือความรับผิดชอบครับ ทั้งเรื่องหน้าที่ คำพูด เวลา ถ้าทำได้ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ดีได้ครับ
คนเล่นดนตรีเป็นอาชีพก็มีเยอะนะครับ แต่ว่ามันคงมีจุดไขว้เขว
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เสีย..เป็นสาเหตุที่ทำให้นักดนตรีไปต่อไม่ได้บ้างไหมครับ


ผมฟังนักดนตรีรุ่นพี่มานะครับ เค้าบอกว่า จุดที่มาทำให้อาชีพเราเสียได้ง่ายที่สุดก็คือ ติดเที่ยวผู้หญิง ติดเหล้า ติดยาเสพย์ติด 
แต่ผมเชื่อนะว่านักดนตรี 99% กินเหล้ากันหมดทุกคนล่ะครับ ( ผมก็ชอบกิน... คุณเต้ยอย่าเอาลงนะ 555 ) เรื่องยาเนี่ยคงแล้วแต่
แต่เรื่องผู้หญิงก็เยอะล่ะ มันก็อยู่ที่ตัวเราล่ะครับว่าจะควบคุมตัวเองได้ไหม จะเตลิดไปเลยหรือจะเลือกอยู่ในกรอบที่ตัวเองตั้งไว้ ต้องมีสติน่ะครับ
ผมว่าทุกอย่างน่ะมันมีเหตุและผลของตัวมันเอง ตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำอะไรอยู่ ทำๆไม แล้วมันจะได้อะไร ผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง
ผมว่าถ้าเราคิดได้และเรารู้นะ อย่างน้อยๆผลเสียมันคงจะน้อยลงครับ ก็มีรุ่นพี่อีกละครับ เล่าให้ฟังว่าแกเคยเล่นดนตรีอยู่ที่หนึ่ง ค่าตัวคืนนั้นได้มา
4-5 พัน กำเงินมาเลยครับวันนั้น แล้วก็ไปเที่ยว อัพยา ฯลฯ จนเช้า พอกลับมาก็ไม่เหลืออะไร พอถึงช่วงงานหมด เงินก็ไม่เหลือครับ
เพื่อนฝูงก็ไม่เหลือเช่นกัน จริงๆก็เป็นได้ทุกอาชีพล่ะครับ ไม่จำกัดเฉพาะนักดนตรีนะ เรื่องติดผู้หญิง เหล้า ยา
เพียงแต่เราเป็นอาชีพกลางคืนซึ่งมีโอกาสทางการพบเจอสิ่งยั่วยุได้ง่ายและสูงกว่าอาชีพกลางวัน คือคนกลางวันถ้าเค้าไม่เดินมาหามันก็ไม่เจอ
แต่เราเนี่ยยังไงก็เจอ ก็ต้องมีสติควบคุมตัวเองให้ได้ครับ สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ตัวเราอยู่ดีครับ
อัพโหลดเมื่อ 6 สิงหาคม 2555

ขอขอบคุณรูปจากคุณ Tom Joom , คุณ Tommy Wongboontham และ คุณ ป๊อบ ด้วยครับ
Smallroomcable ขอขอบคุณ คุณ ป๊อบ สำหรับการให้สัมภาษณ์ที่น่าสนใจ และ ความไว้วางใจที่มีให้กับสายสัญญาณ Smallroomcable ครับ
ttttttt